วันที่ 19 มีนาคม 2568 นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ร่วมปฏิบัติการทีมตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายพุทธิกรณ์ วิชัยดิษฐ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ลงพื้นที่ตำบลนาดี อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุร้องเรียนจากประชาชนว่าได้รับความเดือดร้อนจากเหตุลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมในแปลงที่ดินติดกับบ้านพักอาศัย มีกลิ่นเหม็นสารเคมี ส่งกระทบต่อระบบทางเดินหายใจยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี
ผู้ร้องเรียนได้นำคณะเจ้าหน้าที่สำรวจแปลงที่ดิน พบสภาพดินปนเปื้อนสารเคมี มีร่องรอยคราบของเสียอุตสาหกรรมไหลซึมผ่านช่องกำแพงรั้วคอนกรีตของโกดังบริษัทเอกชนที่อยู่ข้างเคียง ลักษณะเป็นสารเคมีสีส้ม มีค่าเป็นกรด เมื่อตรวจสอบเบื้องต้นคาดว่าเป็นน้ำกรดจากการล้างเหล็กกัลวาไนซ์ที่ผ่านกระบวนการเคลือบหรือชุบสังกะสีเพื่อป้องกันการเกิดสนิม ทั้งนี้ ผู้ร้องเรียนแจ้งว่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้วแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา โดยมีข้อมูลพยานหลักฐานยืนยัน พร้อมคำรับสารภาพว่าเป็นสารเคมีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ประกอบกิจการโรงงานชุบโลหะ และได้นำมาลักลอบเททิ้งในพื้นที่โกดังใกล้เคียงที่เป็นเครือญาติกัน ทำให้สารเคมีไหลซึมออกมายังแปลงที่ดินดังกล่าว
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เผยว่าได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทต้นทางที่เป็นเจ้าของสารเคมีแล้ว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ในข้อหานำสารเคมีซึ่งเข้าข่ายเป็นสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามข้อ 9 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 อันมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท และข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา 37 วรรคหนึ่ง อันมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและปรับอีกวันละไม่เกิน 5,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับสารเคมีที่ลักลอบนำมาทิ้งในที่ดินดังกล่าว ปรากฏผลการทดสอบว่าเป็นของเสียเคมีวัตถุที่จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 กรณีดังกล่าวเมื่อไม่มีการขออนุญาตครอบครองตามกฎหมาย จึงเป็นความผิดในข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท และเป็นคดีที่ไม่อาจยุติคดีโดยการเปรียบเทียบปรับได้ ดังนั้น สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครจึงจะดำเนินคดีโดยการกล่าวหาเพิ่มเติมกับเจ้าของโกดังและเจ้าของแปลงที่ดิน ในข้อหาร่วมกันครอบครองวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่ได้รับอนุญาต และทีมตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเร่งรัดแก้ไขปัญหา เอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีส่วนสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน
หากประชาชนพบปัญหาอุตสาหกรรม โรงงานเถื่อน โรงงานที่ทำให้เดือดร้อน สามารถแจ้งเรื่องได้ที่แอปพลิเคชันไลน์ “แจ้งอุต” ภายใต้ Traffy Fondue (https://landing.traffy.in.th/?key=gmyeYDBV) เปิดรับเรื่องทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
#กรมโรงงานอุตสาหกรรม #กรมโรงงาน #กรอ #DIW #MIND #กระทรวงอุตสาหกรรม #saveอุตสาหกรรมไทย #saveสิ่งแวดล้อม #กากอุตสาหกรรม #ร้องเรียน