วันที่ 1 กันยายน 2566 เวลา 10.30 น. นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และ นายศุภกิจ บุญศิริ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพโรงงานของ บริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย) ณ ตำบลสามบัณฑิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเก็บข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการดำเนินคดี โดยมี นางจินดา เตชะศรินทร์ ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม นายประสม ดำรงพงษ์ ผู้อำนวยการกองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน เจ้าหน้าที่กองพัฒนาระบบมาตรฐานงานกำกับโรงงาน ร่วมด้วย นายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายดำรงพล พวงมาลัย ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรอุทัย และเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้

บริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย) ได้รับใบอนุญาตลำดับที่ 105 และ 106 ประกอบกิจการทำเชื้อเพลิงทดแทน ทำเชื้อเพลิงผสม ซ่อมและล้างบรรจุภัณฑ์ด้วยตัวทำละลาย นำน้ำมันหล่อเย็นที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการกรองเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ คัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย นำสารละลายกรด–ด่าง ที่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ระงับการนำกากอุตสาหกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาภายในโรงงาน พร้อมทั้งมีคำสั่งตามมาตรา 39 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ให้โรงงานระงับการประกอบกิจการเพื่อปรับปรุงแก้ไขการประกอบกิจการให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาต และต่อมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้นำคำสั่งไปปิดประกาศเพิ่มเติมให้การปรับปรุงแก้ไขการประกอบกิจการดังกล่าวแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่กลับตรวจพบการกระทำความผิดอย่างอุกอาจเกี่ยวกับการลักลอบเททิ้งกากอุตสาหกรรมทั้งภายในและภายนอกบริเวณโรงงาน จึงใช้อำนาจตามกฎหมายในการยึดอายัดภาชนะบรรจุ สิ่งของต่างๆ และยานพาหนะทั้งหมดของโรงงาน เพื่อป้องกันมิให้มีการเคลื่อนย้ายและทำลายหลักฐานตามที่ตรวจพบข้างต้น

สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อประสานไปยังกรรมการบริษัทฯ เพื่อขอเข้าตรวจสอบสภาพโรงงานแต่ไม่ได้รับการยินยอมให้เข้าไปโดยเด็ดขาด เจ้าหน้าที่จึงแสดงหมายค้นจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้ดำเนินการทางกฎหมายและเข้าตรวจค้นโรงงานในทันที พบว่า โรงงานปฏิบัติฝ่าฝืนเงื่อนไขการอนุญาตของกรมโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ อาคารโกดัง 106 (3) มีสภาพชำรุด หลังคาสังกะสีเปิดอ้า มีน้ำฝนรั่วเข้ามาได้ ภายในตรวจนับถัง IBC (Intermediate Bulk Container) ขนาด 1,000 ลิตร จำนวนประมาณ 1,000 ถัง ถังพลาสติก 200 ลิตร จำนวน 168 ถัง และบ่อปูนซีเมนต์ จำนวน2 บ่อ ส่วนภายนอกอาคารโกดังมีถังเก็บสารเคมีจำนวนมากถูกกองเกลื่อน สภาพกึ่งชำรุด บรรจุกากของเสียที่เหลือจากกระบวนการผลิตขั้นสุดท้ายซึ่งมีสภาพเป็นกรด เบื้องต้นตรวจนับได้ถัง IBC ขนาด 1,000 ลิตร จำนวน 270 ถัง ถังเหล็ก 200 ลิตร จำนวน 5 ถัง ถังพลาสติก 150 ลิตร จำนวน 11 ถัง อีกทั้งไม่พบการติดตั้งหรือใช้งานเครื่องจักรให้ตรงกับที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ และไม่พบการใช้ระบบขจัดฝุ่นละออง กลิ่น ไอสารเคมี ที่เกิดจากกระบวนการผลิต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังตรวจพบดินปนเปื้อนและของเหลวสีดำคล้ำที่มีสภาพเป็นกรดเข้มข้นถูกเททิ้งและรั่วไหลนองอยู่เต็มพื้นภายในบริเวณโรงงานในปริมาณเพิ่มมากขึ้นจากการตรวจสอบครั้งก่อน ซ้ำพบร่องรอยถูกเททิ้งลงท่อระบายน้ำจนไหลลงสู่คลองสาธารณะของชุมชนที่ใช้เป็นบ่อบาดาลสำหรับอุปโภค–บริโภค

เวลาต่อมา คณะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพื้นที่บริเวณด้านหลังของโรงงาน ซึ่งเป็นที่ดินที่ถูกก่อสร้างปกปิดซ่อนเร้นอำพรางทางเข้า–ออกด้วยสังกะสี พนักงานเจ้าหน้าที่จึงใช้อำนาจตามกฎหมายในการเข้าไปตรวจสอบ พบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการถมดินสูงขึ้นจากระดับพื้นโรงงาน ประมาณ 0.5 เมตร พื้นถูกปูด้วยฉนวนใยสังเคราะห์ มีการก่อสร้างบ่อกักเก็บของเหลว ขนาดความกว้าง 12 เมตร ความยาว 50 เมตร เมื่อนำของเหลวมาตรวจสอบเบื้องต้น มีค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) ประมาณ 1 เป็นกรดเข้มข้น คาดว่าอาจจะเป็นบ่อน้ำเก่าที่มีการปล่อยน้ำเสียสารเคมีลงบ่อแล้วถมดินขึ้นสูงกว่าเดิม นอกจากนี้ คณะเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ด้านข้างของโรงงาน ซึ่งเป็นที่ดินเอกชนถูกปิดล้อมด้วยสแลน หรือ ตาข่ายกรองแสง (Shading Net) มีบ้านพักสำหรับคนงาน และบ่อน้ำ จำนวน 2 บ่อ บ่อแรกขนาดความกว้าง 12 เมตร ความยาว 35 เมตร น้ำภายในบ่อมีสีเขียวเข้ม มีค่าความเป็นกรด–ด่าง (pH) น้อยกว่า 2 เป็นกรด ส่วนบ่อที่ 2 ขนาดความกว้าง 25 เมตร ความยาว 30 เมตร ลักษณะคล้ายถูกถมด้วยดิน

อธิบดีกรมโรงงานฯ เผยว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐและผู้ได้รับผลกระทบได้ให้โอกาสโรงงานดังกล่าวในการปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริงทางกฎหมาย แต่โรงงานยังคงประกอบกิจการที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชน สิ่งแวดล้อม และประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น จึงต้องใช้เครื่องมือขั้นเด็ดขาด โดยเตรียมขั้นตอนการเพิกถอนใบอนุญาต ควบคู่ดำเนินคดีเอาผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทฯ จะเปลี่ยนรายชื่อกรรมการบริษัมชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 แต่กรรมการบริษัทฯ ชุดเดิมและชุดใหม่ต้องร่วมรับผิดต่อการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งทางอาญา ทางแพ่ง และทางปกครอง ซึ่งขณะนี้ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีทุกฐานความผิดต่อพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เรียบร้อยแล้ว




#กรมโรงงานอุตสาหกรรม #กรมโรงงาน #กรอ #DIW #MIND #กระทรวงอุตสาหกรรม #อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา #พระราชบัญญัติโรงงาน #พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย #กฎหมายโรงงาน #กากอุตสาหกรรม #กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ปทส #เอกอุทัย #บริษัทเอกอุทัยจำกัด